“อย่าละสายตาจากซอฟต์พาวเวอร์”
“ดิฉันมาอยู่ที่นี่ในวันนี้เพื่อบอกทุกท่านว่า ประเทศไทยมีซอฟต์พาวเวอร์ที่มีศักยภาพมากมาย และพร้อมต้อนรับทุกคนจากทั่วทุกมุมโลก วันนี้ดิฉันมาหาโอกาสใหม่ๆ ให้กับคนไทย ดังนั้นปีนี้จะเป็นปีที่ดีสำหรับพี่น้องชาวไทยทุกคน”
เป็นประโยคปิดท้ายของนายกรัฐมนตรี ‘แพทองธาร ชินวัตร’ ซึ่งได้ขึ้นเวทีร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองกับ Yana Peel หัวหน้าฝ่ายศิลปะ วัฒนธรรม และการสื่อสารระดับโลกของ CHANEL เพื่อถ่ายทอดความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ไทย ในหัวข้อ “Betazone: Not Losing Sight of Soft Power” ในเวที World Economic Forum ประจำปี 2568 (WEF AM25) เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2568 ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ผนึกกำลังรัฐ-เอกชน ผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ให้เป็นสะพานเชื่อมไทยสู่โลก
บนเวทีนี้ นายกรัฐมนตรีเริ่มต้นบทสนทนาด้วยคำถามว่า “แม้บางคนอาจไม่เคยมาเยือนประเทศไทย แต่ลองคิดดูสิคะ มีใครบ้างที่ไม่เคยได้ยินเรื่องราวของมวยไทย หรือไม่เคยชิมอาหารไทย?” พร้อมอธิบายว่า ซอฟต์พาวเวอร์ของไทยเปรียบเสมือนสะพานที่เชื่อมโยงประเทศกับชาวโลก
รัฐบาลจึงจัดตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ที่รวบรวมอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ 13 ด้าน เช่น ภาพยนตร์ การออกแบบ อาหาร กีฬา เกม และดนตรี ในการสร้างความร่วมมือระหว่าง ภาคเอกชนที่เข้าใจปัญหาของอุตสาหกรรม และภาครัฐที่ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกให้อุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้กับเศรษฐกิจไทย
โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า “นี่คือความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่ต้องการผลักดันศักยภาพไทยให้โลกรู้จักมากขึ้น”
ชู อาหารไทย-มวยไทย-เทศกาล-เวลเนส แม่เหล็กดึงดูดเม็ดเงินจากทั่วโลกสู่ไทย
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เล่าถึงตัวอย่างของซอฟต์พาวเวอร์อย่างอาหารไทยว่า “อาหารไทยไม่ใช่แค่อร่อย แต่ยังเป็นอาหารที่ดูแลสุขภาพคนทั่วโลก” ด้วยวัตถุดิบที่เป็นสมุนไพรและเครื่องเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่เพิ่มรสชาติให้อาหาร แต่ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ และยังสะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม รสชาติ วัตถุดิบ และวิธีการปรุงของอาหารในแต่ละภูมิภาค
พร้อมเล่าถึงความสำเร็จของมวยไทยที่มีโรงเรียนสอนกว่า 40,000 แห่งทั่วโลก โดยรัฐบาลสนับสนุนให้ครูมวยไทยมีการอบรมและได้รับใบรับรอง เพื่อส่งต่อศิลปะการต่อสู้อันงดงามนี้ไปทั่วโลก
ภาพยนตร์ก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ ที่นายกรัฐมตรีได้เล่าถึงการปรับปรุงกฎหมายที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กองถ่ายต่างชาติมาถ่ายทำในประเทศไทยได้ง่ายขึ้น ทำให้มีกองถ่ายภาพยนตร์จากต่างประเทศจำนวนมากเลือกเดินทางมาถ่ายทำในประเทศไทย “เราต้องการให้โลกเห็นความงดงามของบ้านเรา”
พร้อมเสริมว่า ประเทศไทยได้รับความนิยมในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลก โดยการท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วนถึง 20% ของ GDP ด้วยความหลากหลายทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมในแต่ละภูมิภาคดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก รัฐบาลจึงมีเป้าหมายผลักดันให้ประเทศไทยเป็น “ประเทศแห่งเทศกาล” ที่มอบประสบการณ์หลากหลายให้กับนักท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี
นอกจากนี้ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพก็เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของไทย ด้วยค่าบริการที่เข้าถึงได้ในราคาไม่แพงและบริการที่หลากหลาย ตั้งแต่การนวดเพื่อผ่อนคลายไปจนถึงการรักษาด้วยแพทย์ทางเลือก ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
ก่อนจบการสนทนา นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำถึงนโยบาย “1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ (OFOS)” ที่มุ่งสร้างอาชีพกว่า 20 ล้านตำแหน่ง ผ่านการอบรมเพิ่มทักษะใน 13 อุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย “เราต้องการให้คนไทยทุกคนพร้อมสำหรับอนาคต”
![]()
Tags:
Committee,
collaboration