“ผมทำหลักสูตรมาการเรียนการสอนอาหารมากว่า 10 ปี เราจะเอาโครงหลักสูตรนี้มาทำเป็นหลักสูตรหลัก ปรับให้ครบ 240 ชั่วโมง มีทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ เราจะลุยๆ ทำอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่องค์ความรู้ด้านการบริหารเราก็ต้องมีด้วย แต่การเรียนทฤษฎีอาจจะสักประมาณ 30% และภาคปฏิบัติ 70% ไม่ใช่สอนแค่การทำอาหาร-จับเขียง แต่เราจะทำให้คุณรู้ถึงที่มาและที่ไปของการทำอาหาร และวัตถุดิบ สิ่งนี้เขาต้องปลูกฝังเพื่อเปรียบเทียบระหว่างวัตถุดิบของไทยและที่อื่นๆ ว่าของเราดีกว่าอย่างไร”
“ที่สำคัญ อาหารไทยมีเรื่องของภูมิปัญญา การใช้สมุนไพรเพื่อสุขภาพ สิ่งเหล่านี้ ต้องเรียนรู้ และฝึกงานในสถานที่จริง เราต้องการคนพร้อมจริงๆ ทั้งเรื่องเวลา และความมุ่งมั่นตั้งใจ 10,000 คนในปีแรก โดยคัดจากทุกหมู่บ้าน”
“ใน 240 ชั่วโมง เรามีทั้งหมด 4 หลักสูตร โดยยกตัวอย่าง 3 หลักสูตร
1.ทำกินได้ : ทำขายดี
เป็นหลักสูตรที่นำร้านอาหารเจ้าดังที่ประสบความสำเร็จ มาถ่ายทอดหลักสูตรให้
2.MBA chef
คือเชฟที่มีความรู้อยู่แล้วในการทำอาหาร แต่อยากเพิ่มองค์ความรู้ด้านการบริหาร ก็เหมือนการเรียน MBA โดยเราจะมีหลักสูตรการบริหารครัว บริหารคน และบริหารคอร์ส เพื่อจะได้อัพเกรดตัวเองไปเป็น “เชฟบริหารได้” และพอเราอัพสกิลตรงนี้แล้ว เขาก็จะมีตำแหน่งสูงขึ้นและรายได้เพิ่มมากขึ้น
3.Thai Restaurant Entrepreneur
นี่เป็นอีกหลักสูตรที่น่าสนใจ นี่คือหลักสูตรการสร้างเจ้าของร้านอาหารไทย สมมติว่าคุณมีทุนอยากเปิดร้านอาหาร คุณต้องมีองค์ความรู้ด้วย ไม่ใช่มีเงินอย่างเดียวก็เปิดได้ คุณจะต้องรู้เพื่อลดความเสี่ยง เปิดแล้วไม่เจ๊ง ลดการเสียดายเงินและเวลา”
“การเรียนอาหารไทยของเรา ไม่ใช่แค่ทำเป็น แต่ต้องมีองค์ความรู้ เป็นเชฟมืออาชีพ และเราจะถ่ายทอดองค์ความรู้ออกไป และเราจะสร้างชุมชนร้านอาหารไทย ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน มีการแลกเปลี่ยนกันได้ เหมือนในหลายๆ วงการ”
“และทั้ง 4 หลักสูตร เรามีการร่วมมือกับกระทรวงอุดมศึกษาฯ (อว.) และมีกว่า 80 วิทยาลัย-มหาวิทยาลัยทั้งของรัฐและเอกชน รวมถึงในสังกัดอาชีวะ รวมกัน 150 สถาบัน ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ โดยสถานศึกษาที่กล่าวมานั้น จะเป็นศูนย์เทรนนิ่ง OFOS ในอุตสาหกรรมอาหารเรา เตรียมตัวเลยครับ”
“ถ้าธุรกิจอาหารโต ร้านอาหารโต ค้าขายโต แรงงานโต อุตสหากรรมอาหาร และที่เกี่ยวข้องก็จะโตตามกันไปหมด”